แรด
แรด
แรดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มหนึ่ง
จัดอยู่ในวงศ์ Rhinocerotidae
เป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ทั่วโลกมีสัตว์พวกนี้เหลืออยู่เพียง ๕ ชนิด เป็นแรดที่พบในทวีปเอเชีย ๓ ชนิด คือ กระซู่ แรดชวา และแรดอินเดีย พบในทวีปแอฟริกา ๒ ชนิด คือ แรดขาวและแรดดำ
ชีววิทยาของแรด
๑.กระซู่
มีชื่อวิทยาสาสตร์ว่า Dicerorhinus sumatrensis (fischer)
มีชื่อสามัญว่า asian two-horned rhinoceros หรือ Sumatran rhinoceros
เป็นสัตว์กีบคี่ คือ มีเล็บ ๓ เล็บ ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง มี ๒ นอ เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ ๑-๑.๕๐ เมตร น้ำหนักราว ๑ ตัน มีหนังหนาและมีขนปกคลุมทั่วตัวโดยเฉพาะในตัวที่มีอายุน้อย ขนนี้จะน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยทั่วไปลำตัวสีเทาคล้ายสีขี้เถ้าหรือสีน้ำตาลเข้ม ด้านหลังของลำตัวมีรอยพับของหนังเพียงพับเดียวอยู่ที่บริเวณด้านหลังของขาคู่หน้า กระซู่ทั้ง ๒ เพศมีนอ ๒ นอ นอหน้ายาวราว ๒๕ เซนติเมตร ส่วนนอหลังมักยาวไม่เกิน ๑๐ เซนติเมตร หรืออาจเป็นเพียงตุ่มนูนขึ้นมาในตัวเมีย กระซู่เป็นสัตว์ที่ปีนเขาเก่ง มีประสาทรับกลิ่นดีมาก หากินตอนกลางคืน กินใบไม้ กิ่งไม้ และผลไม้ป่าเป็นอาหาร ตามปรกติใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ยกเว้นในฤดูผสมพันธุ์ หรือช่วงที่ตัวเมียเลี้ยงลูกอ่อน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ระยะตั้งท้อง ๗-๘ เดือน มีอายุยืน ๓๒ ปี
กระซู่มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่รัฐอัสสัมของประเทศอินเดีย และในบังกลาเทศ พม่า ไทย เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มักอาศัยตามป่าเขาสูงที่มีหนามรกทึบ แต่ลงมาอยู่ในป่าที่ราบต่ำตอนปลายฤดูฝน ซึ่งมักมีปลักและน้ำอยู่ทั่วไป ในปัจจุบันกระซู่จัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของไทย
๒. แรดชวา (เขมรเรียกระมาด)
มีชื่อวิทยาศาสตร์ Rhioceros sondaicus Desmarest
มีชื่อสามัญว่า lesser one-horned rhinoceros sinv Javan rhinoceros
เป็นสัตว์กีบคี่ คือ มีเล็บ ๓ เล็บ ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง มีนอเดียว เมื่อโตเต็มที่มีความสูงที่ไหล่ ๑.๖๐-๑.๘๐ เมตร น้ำหนักตัว ๑.๕-๒ ตัน มีหนังหนาและมีขนขึ้นห่างๆ ลำตัวสีเทาออกดำ ด้านหลังของลำตัวมีรอยพับของหนัง ๓ รอย ตรงบริเวณหัวไหล่ ด้านหลังของขาคู่หน้า และด้านหน้าของขาคู่หลัง แรดตัวผู้มีนอเดียว มีความยาวไม่เกิน ๒๕ เซนติเมตร ส่วนตัวเมียนั้นเห็นเป็นเพียงตุ่มนูนขึ้นมา แรดชวาเคยเป็นสัตว์ที่หากินอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่ปัจจุบันพบหากินโดดๆ หรืออยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์ กินใบไม้ กิ่งไม้ และผลไม้ป่าที่ร่วงอยู่บนพื้นดินเป็นอาหาร ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ระยะตั้งท้องนาน ๑๖ เดือน มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ในประเทศบังกลาเทศ พม่า ไทย เวียดนาม เขมร มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มักพบในป่าดิบชื่นที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หรือป่าทึบริมฝั่งทะเล ส่วนใหญ่หากินอยู่ตามป่าที่ราบ ไม่พบอยู่ตามภูเขาสูง ปัจจุบันแรดชวาจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน ๑๕ ชนิดของไทย
๓. แรดอินเดีย
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinoceros unicornis Linnaeus
มีชื่อสามัญว่า Indian rhinoceros
เป็นแรดใหญ่ชนิดนอเดียว สูงราว ๒ เมตร หนัก ๒-๓ ตัน ตามตัวมีหนังหนาคล้ายโล่ที่ไหล่ ที่ตะโพก หนังเป็นปุ่มนูนกลมเห็นได้ชัด ไม่มีขนมากนักนอกจากที่ขอบหูและปลายหาง มีหนังพับข้ามหลัง ๒ แห่ง คือ ที่ด้านหลังของไหล่และที่ด้านหน้าของตะโพก แต่ไม่มีพับหนังข้ามคอ หางสั้นอยู่ในหลืบพักของตะโพก ตั้งท้องนานราว ๑๙ เดือน อายุยืนราว ๕๐ ปี แรดอินเดียอาศัยอยู่ในป่าลุ่มริมแม่น้ำ เคยพบมากในหุบเขาแม่น้ำสินธุ ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา หุบเขาแม่น้ำพรหมบุตร และบริเวณเชิงเขาหิมาลัยตั้งแต่ประเทศปากีสถานถึงรัฐอัสสัมประเทศอินเดีย
๔. แรดขาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ceratotherium simum Burchell
มีชื่อสามัญว่า white rhinoceros หรือ square-lipped rhinoceros
มีขนาดใหญ่กว่าแรดอื่นๆ สูงราว ๑.๖๐-๒ เมตร ขนาดวัดจากหัวถึงโคนหาง ๓.๖๐-๕ เมตร หนัก ๒.๓ – ๓ ตัน มีนอ ๒ นอ นอหน้ายาวราว ๖๐ เซนติเมตร แต่บางตัวนอยาวถึง ๑.๕๐ เมตร หัวยาว ปากกว้าง หูยาวกว่าแรดดำ และปลายหูแหลม หน้าผากลาด และมนกว่าแรดดำ หัวไหล่นูนเป็นก้อน ผิวหนังเป็นตุ่มนูนน้อยกว่าแรดดำ ผิวสีน้ำตาลอมเหลืองหรือสีเขา ผิวหนังทั่วตัวไม่มีขน ยกเว้นขนที่ปลายหูและขนหาง ริมฝีปากบนมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัส แรดชนิดนี้ชอบกินหญ้ามากกว่าใบไม้ และสมุนไพรเช่น หญ้าดอกขาว มีหัวยาวเพื่อให้ก้มลงกินหญ้าได้ง่าย บนไหล่มีโหนกสูง มีจมูกดี แต่ตาและหูไม่ดี ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ ราว ๔—๕ ตัว แต่อาจพบได้ถึงฝูงละ ๑๘ ตัว ไม่ดุมากแรดขาวเคยอาศัยอยู่บริเวณภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา บริเวณหุบเขาลุ่มแม่น้ำไนล์ แต่ในปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปจากบริเวณนี้ พบในแอฟริกากลางบริเวณทะเลสาบชาดกับแม่น้ำไนล์ขาว และในแอฟริกาใต้ ทางตอนใต้ของแม่น้ำออเรนจ์ไปทางทิศตะวัยตก จนถึงภาคตะวันออกของประเทศนามิเบีย แรดขาวโตถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ ๗-๑๐ ปี ตั้งท้องนาน ๑๘ เดือน ตามปรกติคลอดลูกเพียงตัวเดียว เมื่ออายุ ๑ เดือนก็เดินตามแม่ได้แล้ว อายุ ๑ สัปดาห์เริ่มกินหญ้า มีอายุยืน ๓๐-๔๐ ปี
๖.แรดดำ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Diceros bicornis Linnaeus
มีชื่อสามัญว่า hook-lipped rhinoceros หรือ African black rhinoceros
เป็นแรดที่มีรูปร่างใหญ่ เทอะทะ หนังหนา สีน้ำตาลอ่อนปนเทาหรือเทาแก่ ตามลำตัวไม่มีขน ยกเว้นบริเวณใบหูและปลายหาง ไม่มีต่อมเหงื่อ ตาเล็ก ริมฝีปากบนเป็นติ่งหรือจะงอยแหลมเล็กน้อย ยืดหดได้ ใช้เหนี่ยวกิ่งไม้เข้าปากได้ มี ๒ นอ นออันหน้าใหญ่และยาวกว่าอันหลัง หางสั้น แข็ง ใบหูกลม ไม่มีทั้งฟันตัดและฟันเขี้ยว เท้ามี ๓ เล็บ ขนาดลำตัวยาวราว ๓.๓๐ เมตร ความสูงถึงไหล่ราว ๑.๗๐ เมตร น้ำหนักราว ๒ ตัน ตัวเมียมีเต้านม ๒ เต้า ตามปรกติแรดดำชอบอยู่ตัวคนเดียว จะอยู่เป็นคู่เฉพาะในช่วงเวลาผสมพันธุ์ ออกหากินตอนกลางคืน ชอบหากินตามทุ่งหญ้าและบริเวณชายป่า ไม่ชอบเข้าไปหากินในป่าลึก นิสัยดุ หูและจมูกไว แรดดำโตเป็นหนุ่มสาวพร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว ๗ ปี ตั้งท้องนาน ๑๕-๑๖ เดือน ตกลูกครั้งละ ๑ ตัว ลูกแรดกินนมแม่อยู่นานราว ๒ ปี และอยู่กับแม่นาน ๓-๔ ปี แรดที่พบในบ้านเรามีเพียง ๒ ชนิดแรก คือ กระซู่และแรดชวา
ประโยชน์ทางยา
แพทย์แผนไทยเคยใช้นอแรดเข้าเป็นเครื่องยาในยาโบราณหลายขนาน แต่ในปัจจุบันใช้น้อยลง เพราะหายากและมีราคาแพง นอแรดเป็นสิ่งแข็งเหมือนเขาสัตว์ ตัน งอกขึ้นมาเหนือจมูกของสัตว์พวกแรด นอแรดที่ดีควรมีผิวนอกดำไหม้ สีค่อยจางไปที่โคน จนเป็นสีเทาอมน้ำตาล เนื้อในมีสีเทาปนขาว มีจุดสีเทาดำ ตำราสรรพคุณยาโบราณว่า นอแรดมีกลิ่นหอมเย็น ไม่คาว มีรสเปรี้ยวเค็มเย็น มีสรรพคุณแก้ไข้สูง แก้พิษร้อน แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ถ่ายเป็นเลือด เป็นยาระงับประสาท โดยใช้บดเป็นผงผสมกับน้ำกิน เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้อาการเกร็งเพื่อเป็นการอนุรักษ์สัตว์พวกนี้ไว้ จึงไม่ควรใช้หรือสนับสนุนให้ใช้ เครื่องยาที่ใช้แทนกันได้คือเขากระบือ (ควาย) แต่ต้องใช้ในปริมาณมากกว่าหลายเท่า
รูปภาพจาก:pixabay.com,fanpop.com